หากจะพูดถึงกองหลังที่แข็งแกร่งและมีฟอร์มคงเส้นคงวาที่สุดในเวลานี้ แน่นอนว่าชื่อของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ต้องถูกเอ่ยออกมาเป็นอันดับแรก เพราะนี่คือเซนเตอร์แบ็กที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งการเล่นเกมรับ และเกมรุก ที่สำคัญยังเป็นนักเตะที่เข้ามาแก้ไขจุดอ่อนของ ลิเวอร์พูล ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ด้วยผลงานชั้นยอดแบบนี้ทำให้ ฟาน ไดค์ ได้รับรางวัลนักเตะและกองหลังยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า รวมไปถึงมีชื่อติดหนึ่งในสามลุ้นรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่าประจำปี 2019 และยังเป็นตัวเต็งที่จะได้รางวัลบอลทองคำ หรือ บัลลงดอร์ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเรื่องความสำเร็จส่วนตัวไม่ค่อยได้อยู่ในความคิดของ ฟาน ไดค์ มากนัก เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือการเห็น "เดอะ เร้ดส์" รักษาฟอร์มการเล่นให้คงเส้นคงวา เนื่องจากนับจากนี้เป็นต้นไปสโมสรจะต้องกรำศึกหนักเพราะทีมมีโปรแกรมที่จะต้องลงแข่งแบบถี่ยิบ
ลิเวอร์พูล ต้องลงเล่นเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ คาราบาว คัพ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้ ขณะที่ พรีเมียร์ลีก ก็ยังมีคิวปะทะ "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่สนามแอนฟิลด์ ในวันเสาร์ที่ 14 กันยายนนี้ โดย ฟาน ไดค์ พยายามที่จะกระตุ้นทัพ "หงส์แดง" ต้องเล่นให้ดีเหมือนกับเกมลีกทั้ง 4 แมตช์ที่พวกเขาเก็บชัยชนะเรียบวุธ
"เราต้องรักษาฟอร์มแบบนี้ต่อไป และเราต้องเก็บชัยชนะให้ได้ทุกเกมที่เราจะต้องเจอ มีอีก 7 เกมก่อนที่จะถึงช่วงพักเบรกทีมชาติครั้งต่อไป เราต้องเก็บชัยชนะในทุกๆ แมตช์ให้ได้ และการชนะทั้ง 7 เกมเป็นเป้าหมายของเรา นั่นคือสิ่งที่เราต้องพยายามทำให้ได้"
"มันเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าเราจะทำแต้มได้เหมือนกับเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาหรือไม่สำหรับครั้งนี้ ถ้าคุณเก็บชัยชนะในเกมที่คุณลงเล่น นั่นคือหนทางเดียวที่เราจะต้องคิด เรารู้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอดเยี่ยมมากแค่ไหน ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้"
"อย่างไรก็ตามก็ยังมีอีกหลายทีมที่พร้อมแข่งขันเช่นกัน ในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าเราจะต้องลงเล่นในวันเสาร์/กลางสัปดาห์ เกือบตลอด และยังมีหลายเกมที่สุดหินพอสมควร เราต้องไปเยือน เชลซี และเยือน นาโปลี ในเกมฟุตบอลถ้วยยุโรป (แชมเปี้ยนส์ ลีก) รวมไปถึงลีก คัพ (คาราบาว คัพ) ก็ไม่ใช่งานง่ายๆ"
"ดังนั้นเรารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากมากแค่ไหนที่เราจะต้องเจอทั้งในช่วงเวลาที่จะถึงนี้ และช่วงทีเหลืออยู่ของซีซั่น แต่เรามีสภาพจิตใจและนักเตะที่พร้อมสู้เพื่อคว้าชัยชนะทุกแมตช์ที่รอเราอยู่ มันเป็นสัปดาห์ที่ดี การช่วยชาติเก็บ 6 คะแนน (กับ ฮอลแลนด์) และตอนนี้ผมโฟกัสอยู่ที่การฟื้นฟูร่างกาย และทำให้ตัวเองพร้อมลงเล่นกับ นิวคาสเซิ่ล ในวันเสาร์นี้"
ปราการหลังเลือดดัตช์ กวาดรางวัลส่วนตัวเป็นว่าเล่นในช่วงที่ผ่านมา และแน่นอนว่าเจ้าตัวมีความสุขกับสิ่งที่ได้รับ แต่มันจะยิ่งมีความสุขเป็นทวีคูณหากสามารถนำ "เดอะ เร้ดส์" ประสบความสำเร็จทั้งในลีก และแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้
"ผมภูมิใจมาก ที่คว้ารางวัลจากยูฟ่า และพีเอฟเอ ผมรู้ว่า ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เป็นกองหลังคนสุดท้ายที่ได้รางวัลจากยูฟ่า และนั่นก็นานมากแล้ว มีการแสดงความเห็นเยอะแยะมากมายที่บอกว่าใครจะได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม และผู้เล่นกองหลังหรือนักเตะแนวรุกควรจะได้รางวัลนี้ แต่ผมภูมิใจมากๆ ที่พวกเขาเลือกผม"
ค่ำคืนที่สุดยิ่งใหญ่ที่สนามแอนฟิลด์ ในแมตช์พลิกนรกคว่ำ บาร์เซโลน่า ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นัด 2 รอบรองชนะเลิศ ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญกันจนทุกวันนี้ และ ฟาน ไดค์ ยอมรับว่าความสำเร็จในวันนั้นจะไม่เกิดขึ้นเลยหากไม่ได้กำลังใจ และแรงสนับสนุนจากเหล่าสาวก "เดอะ ค็อป"
"ตอนที่เราแพ้เกมแรกในรอบรองชนะเลิศที่บาร์เซโลน่า เราผิดหวังมากๆ สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ ช่วงสุดสัปดาห์ก่อนที่จะถึงแมตช์ที่สอง เราลงเล่นกับ นิวคาสเซิ่ล และเราชนะ 3-2 ในนาทีสุดท้าย เกมวันอาทิตย์ เราทุกคนได้ดูเกมที่ แมนเชสเตอร์ วิตี้ ชนะ เลสเตอร์ ซึ่งต้องขอบคุณ แว็งซองต์ กอมปานี ที่ยิงประตูน่าเหลือเชื่อลูกนั้น"
"มันเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเราเพราะในหัวของเรา เราเข้าใจว่า แมนฯ ซิตี้ คงไม่พลาด และฤดูกาลของเราคงจบลงในอีก 2 วันถัดมา ซึ่งก็คือแมตช์ที่ต้องรับมือ บาร์เซโลน่า และเราต้องแสดงผลงานที่สุดมหัศจรรย์ออกมาให้ได้ ตอนที่เรามาถึงสนามเราเริ่มเชื่อมั่นว่ามันอาจเป็นไปได้ เมื่อเราเห็นความศรัทธา, บรรยากาศที่ยิ่งใหญ่, แฟนบอลที่ให้การหนุนหลังเราเต็มที่ มันเป็นแรงกระตุ้น ! เราสามารถสร้างค่ำคืนมหัศจรรย์ได้จริงๆ"
ขณะเดียวกันเรื่องโอกาสที่ ลิเวอร์พูล จะจบการรอคอยกว่า 30 ปีในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกได้หรือไม่นั้น เรื่องนี้ ฟาน ไดค์ เผยว่า "ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวหรอก เพราะผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่แค่ 18 เดือนเท่านั้น แม้ว่าผมจะรู้ประวัติศาสตร์ของสโมสรนี้ และผมรู้ว่า ลิเวอร์พูล ต้องการแชมป์รายการนี้มากกว่าทุกๆ ทีม ผมไม่กดดัน เราพลาดแชมป์นี้เมื่อปีที่แล้ว เรารู้ว่าเราต้องทำยังไง ง่ายๆเลยก็แค่ทำให้ดีกว่าปีที่ผ่านมา"
ความสำเร็จทั้งรางวัลส่วนตัวเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ แต่การช่วย ลิเวอร์พูล ได้แชมป์มากมายนั่นคือสิ่งที่ ฟาน ไดค์ มองว่าภาคภูมิใจยิ่งกว่าหลายเท่า !!!