1.3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 49.4 ล้านบาท) คือจำนวนเงินทั้งหมดที่ ลิเวอร์พูล ใช้ไปกับการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยมันมาจากค่าตัวในเบื้องต้นของ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก กองหลังดาวรุ่งที่พวกเขาดึงมาจาก พีอีซี ซโวลล์ ส่วนค่าตัวในแบบที่ถ้ารวมเงื่อนไขต่างๆ แล้วนั้น จะอยู่ที่ 4.4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 167.2 ล้านบาท)

    แน่นอนว่าในมุมหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล บางคนกังวลไม่น้อย เพราะพวกเขาหวังว่าทีมจะช็อปแข้งดังเพื่อที่จะได้เดินหน้าล่าความสำเร็จต่อไปได้ หลังจากฤดูกาลก่อนได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาหมาดๆ แถมยังเกือบจะได้แชมป์ลีกมาเชยชมอีก

    อย่างไรก็ตาม ถ้ามองข้ามเรื่องการไม่ช็อปแข้งดังแล้วนั้น การจะบอกว่านี่เป็นช่วงซัมเมอร์แห่ง "ชัยชนะ" ของทาง ลิเวอร์พูล ก็คงไม่ผิดอะไรนัก เพราะพวกเขาสามารถทำธุรกิจเรื่องการปล่อยนักเตะได้ดี จนทำให้ได้เงินเข้ากระเป๋าจากด้านค่าตัวในการขายนักเตะ และค่ายืมตัวเป็นจำนวนรวมถึง 44 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,672 ล้านบาท) ทั้งที่พวกที่โดนปล่อยออกไปต่างก็เป็นเพียงแข้งกำลังสำรอง หรือไม่ก็นักเตะวัยรุ่นที่แทบไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมชุดใหญ่มากเท่าไหร่ในช่วงที่ผ่านมา

    แดนนี่ อิงส์ เข้ามาอยู่กับ ลิเวอร์พูล หลังจากที่ "หงส์แดง" จ่ายเงินไป 8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 304 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าชดเชยให้ เบิร์นลี่ย์ ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่อยู่กับทีมเขาก็ได้ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล ไปเพียง 25 นัดจากทุกรายการเท่านั้น โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักด้วย

    ถึงกระนั้น ลิเวอร์พูล ก็ยังสามารถขายแข้งวัย 27 ปี ให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ในราคาถึง 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 760 ล้านบาท) หรือก็คือพวกเขาทำกำไรจากคนที่เป็นส่วนเกินได้ถึง 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 456 ล้านบาท) ด้วยกัน

    ขณะที่ ราฟาเอล กามาโช่ ปีกดาวรุ่งชาวโปรตุกีสนั้น เคยถูกยกว่าจะเป็นกำลังสำคัญให้ทีมได้ โดยก่อนจะมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล นั้น เขาเคยฝึกฝีเท้ากับอะคาเดมี่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาก่อนด้วย แต่ถึงกระนั้นแข้งวัย 19 ปีก็ได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ไปเพียงแค่ 2 นัด

    อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ก็ยังเจรจาได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถขายเขาให้กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ได้ในราคา 7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 266 ล้านบาท) ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้เสียเงินก้อนโตกับดาวเตะเลือดฝอยทองเลย แถมยังบีบให้ สปอร์ติ้ง ต้องยอมรับเงื่อนไขที่ ลิเวอร์พูล จะได้ส่วนแบ่ง 25 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากมีการขาย คามาโช่ ให้ทีมอื่นต่ออีกต่างหาก

    ด้าน ไรอัน เคนท์ ปีกดาวรุ่งชาวอังกฤษ ก็ได้รับการจับตามองจากคนในแคมป์ของ ลิเวอร์พูล มาพักหนึ่ง หลังจากเขามาอยู่กับอะคาเดมี่ของทีมตั้งแต่ปี 2003 แต่ด้วยความที่แนวรุกในตอนนี้ของ ลิเวอร์พูล มีแต่ตัวโหดๆ ทำให้เขาไม้สามารถขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้ และเขาก็โดนปล่อยไปเล่นแบบยืมตัวมา 4 ฤดูกาลติดต่อกันแล้ว

    ท้ายที่สุด ลิเวอร์พูล ก็ตกลงขายเขาให้ เรนเจอร์ส ทีมที่เพิ่งยืม เคนท์ ไปใช้งานเมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยยอดทีมแห่งถิ่น แอนฟิลด์ สามารถเรียกเงินจากนักเตะที่ยังไม่เคยลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของเขาไปเพียงนัดเดียวได้ถึง 7.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 285 ล้านบาท) แถมมันยังมีเงื่อนไขที่ ลิเวอร์พูล จะได้ส่วนแบ่ง 20 เปอร์เซ็นต์ หากมีการขายแข้งวัย 22 ปีต่ออีกต่างหาก ซึ่งที่จริงตอนแรก เรนเจอร์ส กะจะแค่ขอยืมตัวโดยที่มีอ็อปชั่นซื้อขาดเท่านั้น แต่ทีมเจรจาของ ลิเวอร์พูล ก็กล่อมให้ เรนเจอร์ส ยอมซื้อขาดเขาในที่สุด

    ส่วน ซิมง มิโญเล่ต์ ทำได้เพียงเป็นมือ 2 ของทีมมานานแล้ว ทำให้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเจ้าตัวอยากย้ายทีมเพื่อหาโอกาสลงเล่นมากขึ้น ซึ่ง ลิเวอร์พูล ก็ยอมทำตามนั้น ด้วยการปล่อยเขาให้กับ คลับ บรูช ทีมในบ้านเกิด

    ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล ได้เงินจากการขาย มิโญเล่ต์ ถึง 8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 304 ล้านบาท) แถมการโละเขาออกจากทีมยังถือเป็นการลดภาระค่าเหนื่อยได้ในระดับหนึ่งด้วย หลังจากก่อนหน้านี้เขาฟันค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 60,000 ปอนด์ (ประมาณ 2.28 ล้านบาท)

    และแน่นอนว่าที่ขาดไม่ได้คือ บ็อบบี้ ดันแคน กองหน้าดาวรุ่งเจ้าของฐานะญาติของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ใช้มาตรการกดดันให้ ลิเวอร์พูล ยอมขายเขา โดยหลังจากกินเวลาอยู่พักหนึ่ง ยอดทีมแห่งถิ่น แอนฟิลด์ ก็ปล่อยเขาไปซบกับ ฟิออเรนติน่า

    รายของ ดันแคน ก็เหมือนกับ เคนท์ นั่นคือตอนแรก ฟิออเรนติน่า แค่คิดที่จะยืมตัวและมีอ็อปชั่นซื้อขาด แต่ทีมงานของ ลิเวอร์พูล ยืนกรานว่ามันต้องเป็นการย้ายถาวรสถานเดียว และสุดท้าย ฟิออเรนติน่า ก็ต้องจ่ายเงิน 1.9 ล้านปอนด์ (ประมาณ 72.2 ล้านบาท) ให้กับนักเตะที่ยังไม่เคยลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ในเกมที่มีความหมายเลย โดยมันมีเงื่อนไขด้วยว่า ลิเวอร์พูล จะได้ส่วนแบ่ง 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหาก ฟิออเรนติน่า ขายเขาต่อ

    สำหรับคนที่ดำเนินเจรจาเรื่องการขายนักเตะของ ลิเวอร์พูล ได้แก่ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการกีฬา และ ไมค์ กอร์ดอน ประธานจาก เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป เรียกได้ว่างานนี้ต้องให้เครดิตทั้งคู่เต็มๆ ที่สามารถทำเงินก้อนโตจากการปล่อยนักเตะที่ไม่ใช่กำลังหลัก และเหล่าดาวรุ่งของทีมได้