นับเป็นการเปิดตัวแบบฝันร้ายอย่างแท้จริง สำหรับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมคนใหม่ของ เชลซี หลังจากที่ทีมของเขาออกไปแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ที่ขาดลอย 0-4 ในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดแรกประจำฤดูกาล 2019-20 ของทั้งสองทีม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา
นี่ถือเป็นความพ่ายแพ้ในลีกสูงสุดต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ที่ขาดลอยที่สุดของ เชลซี นับตั้งแต่ปี 1965 โดยที่ตอนนั้น "สิงโตน้ำเงินคราม" ก็พ่ายด้วยสกอร์ 0-4 เหมือนกัน ซึ่งมันก็ทำให้แฟนบอล เชลซี บางส่วนกังวลว่า แลมพาร์ด จะไปไม่รอดกับงานนี้
นอกจากนี้ แลมพาร์ด ยังเป็นกุนซือเชลซีคนแรกรอบ 41 ปีที่ปีะเดิมคุมสนามเกมแรกแล้วพ่ายแพ้ย่อยยับที่สุดนับตั้งแต่ แดนนี่ บลันช์ฟลาวเวอร์ นำทีมแพ้ มิดเดิลสโบรช์ 2-7 เมื่อเดือนธันวาคม 1978
อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วรูปเกมของ เชลซี ไม่ได้แย่เหมือนกับสกอร์ที่ออกมาเลย ในช่วงครึ่งแรกพวกเขามีโอกาสทำประตูสวยๆ หลายครั้ง แถมยังยิงชนเสาชนคานอีกหลายหน ซึ่งถ้าลูกยิงเหล่านั้นเป็นประตู การเปิดตัวของ แลมพาร์ด อาจจะเป็นฝันดีมากกว่าฝันร้ายก็ได้
หนึ่งในสิ่งที่สื่อได้ดีในระดับหนึ่งว่าทีมของ แลมพาร์ด ไม่ได้เป็นรองทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตนักเตะจากยุคเดียวกันมากนักคือสถิติอย่างเป็นทางการจาก พรีเมียร์ลีก โดยผลงานของ เชลซี เหนือกว่า "ปีศาจแดง" แทบทุกด้าน
อย่างการครองบอลนั้น เชลซี ทำได้ที่ 53.8 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลเพียง 46.2 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนจำนวนครั้งการยิง เชลซี มีโอกาสส่องไป 18 ครั้ง และเป็นการยิงตรงกรอบ 7 หน ขณะที่เจ้าถิ่นมีจังหวะลุ้นทำประตู 11 ครั้ง และยิงตรงกรอบ 5 ครั้ง สิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ เชลซี เป็นรอง คือความเฉียบคมในการจบสกอร์เท่านั้น
ตารางเทียบสถิติอย่างเป็นทางการจาก พรีเมียร์ลีก
แมนฯ ยูไนเต็ด | เชลซี | |
46.2 | เปอร์เซ็นต์ครองบอล | 53.8 |
11 | จำนวนครั้งการยิง | 18 |
5 | จำนวนครั้งที่ยิงตรงกรอบ | 7 |
647 | จำนวนครั้งการจับบอล | 732 |
449 | จำนวนครั้งการจ่ายบอล | 523 |
16 | จำนวนครั้งที่เข้าสกัดสำเร็จ | 20 |
19 | จำนวนครั้งการเคลียร์บอล | 11 |
3 | จำนวนครั้งที่ได้ลูกเตะมุม | 5 |
2 | จำนวนครั้งที่ล้ำหน้า | 0 |
ขณะเดียวกันมันต้องไม่ลืมด้วยว่า เชลซี ยุคของ แลมพาร์ด สามารถทำผลงานเหล่านี้ได้โดยที่เกมนี้ไม่ได้ใช้งานนักเตะระดับกำลังหลักเป็นตัวจริงบางคนด้วย อย่างทั้ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กับ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ต้องออกสตาร์ตด้วยการเป็นตัวสำรอง ส่วน คริสเตียน พูลิซิช ปีกตัวความหวังคนใหม่เริ่มต้นด้วยการอยู่บนม้านั่งเช่นกัน โดยสาเหตุที่ทั้งหมดไม่ได้ออกสตาร์ตด้วยการเป็นตัวจริงนั้น แลมพาร์ด บอกว่ามันเป็นเรื่องของความฟิต
ถ้าเกิดแข้งเหล่านั้นมีสภาพความฟิตดีขึ้นจนได้ลงเล่นเป็นตัวจริง รวมถึงแข้งตัวหลักอย่างเช่น วิลเลี่ยน กลับมาลงสนามได้แล้วล่ะก็ เชื่อได้ว่าเกมรุกของ เชลซี ในยุคของ แลมพาร์ด น่าจะดูมีประสิทธิภาพมากกว่านี้เยอะพอตัว
นอกจากนี้ ดาวรุ่งของ เชลซี ทำผลงานได้ดีเช่นกัน โดยใน 11 ตัวจริงของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แลมพาร์ด ให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง เมสัน เมาท์ และ แทมมี่ อับราฮัม ลงเล่น ซึ่งรายของ อับราฮัม มีจังหวะยิงชนเสาในช่วงต้นเกม ขณะที่ เมาท์ เล่นในแดนกลางได้ดีพอตัว โดยถ้าทั้งคู่ยังพัฒนาต่อไปได้ พวกเขาน่าจะช่วย เชลซี ได้ในระดับหนึ่ง
แน่นอน นี่ถือเป็นบทเรียนที่โหดร้ายสำหรับ แลมพาร์ด และลูกทีมของเขา เพียงแต่มันยังเป็นเกมที่ห่างไกลจากการสอบขั้นไฟนั่ล ทีมของอดีตยอดกองกลางชาวอังกฤษยังมีเวลาให้แก้ไขกันอีก เริ่มจากความเฉียบคมในการจบสกอร์ และความเหนียวแน่นในการวางระบบเกมรับ ซึ่งถ้าแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ เชลซี ของ แลมพาร์ด น่าจะมีลุ้นทำผลงานได้ดีในฤดูกาลนี้เหมือนกัน