ได้เวลาล้มล้างเมสซี่-โด้! 3 เหตุผล ฟาน ไดค์ ควรได้บัลลงดอร์ 1

ได้เวลาล้มล้างเมสซี่-โด้! 3 เหตุผล ฟาน ไดค์ ควรได้บัลลงดอร์

บัลลงดอร์ รางวัลทรงเกียรติที่นักฟุตบอลอยากได้มาครอบครอง แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต่างผลัดกันเชยชมความยิ่งใหญ่ของ “บอลทองคำ” โดยมีเพียง ลูก้า โมดริช เท่านั้นที่เข้ามาแทรกเมื่อปีที่ผ่านมา แต่งานนี้หลายคนมองว่าปี 2019 อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง

    ชื่อของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โผล่พุ่งขึ้นมาแทรกกลางระหว่าง เมสซี่ และ โรนัลโด้ ในการลุ้นรางวัลทรงเกียรตินี้ โดย ปราการหลังเลือดดัตช์ เพิ่งจะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม และกองหลังยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 จากยูฟ่า มาเชยชม แบบเป็นเอกฉันท์

    แถม "แฟลช ไดค์" ซึ่งนำ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และช่วย ฮอลแลนด์ เข้าชิง ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ในซีซั่น 2018-19 ยังมีชื่อติดสามคนสุดท้ายร่วมกับ เมสซี่ และ โรนัลโด้  ลุ้นคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่าประจำปี 2019 หรือ "เดอะ เบสต์ ฟีฟ่า เมนส์ เพลเยอร์" ด้วย

 

ได้เวลาล้มล้างเมสซี่-โด้! 3 เหตุผล ฟาน ไดค์ ควรได้บัลลงดอร์

 

    ด้วยเหตุนี้ทำให้ เซนเตอร์แบ็กทีมชาติฮอลแลนด์ กลายเป็นความหวังใหม่เฉกเช่น โมดริช ที่จะล้มล้างความเป็นเจ้าบัลลงดอร์จากสองแข้งต่างดาว และงานนี้อาจจะมีความเป็นไปได้เนื่องจาก 3 ปัจจัยสำคัญที่มีสิทธิ์ถูกนำมาพิจารณาให้เขาได้คว้า บอลทองคำ 2019 ไปนอนกอดที่บ้าน

ได้เวลาล้มล้างเมสซี่-โด้! 3 เหตุผล ฟาน ไดค์ ควรได้บัลลงดอร์ 2

 

 

3. กองหลังสุดแกร่ง
    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมสซี่ กับ โรนัลโด้ ผลัดกันคว้ารางวัลทรงเกียรตินี้ไปนอนกอดเล่นที่บ้าน อย่างไรก็ตามเริ่มเกิดกระแสไม่ปลื้มที่นักเตะทั้งสองคนกวาดบอลทองคำไม่แบ่งใคร เนื่องจากหลายคนรู้สึกว่ามันไม่ค่อยแฟร์กับผู้เล่นในตำแหน่งอื่น

    ยกตัวอย่างผู้เล่นในตำแหน่งกองกลาง หรือกองหลังไม่ค่อยได้รับการเหลียวแล เพราะพวกเขาไม่มีทางยิงประตูได้เกือบครึ่งร้อยเหมือนที่ ดาวเตะอัจฉริยะชาวอาร์เจนไตน์ และ กัปตันทีมชาติโปรตุเกส ทำได้มาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างในกรณีเมือปี 2010 ที่ เมสซี่ ได้บัลลงดอร์ ทั้งๆ ที่ เวสลี่ย์ สไนเดอร์ นำ อินเตอร์ มิลาน คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ และช่วย ฮอลแลนด์ ทะลุเข้าชิงฟุตบอลโลก ก็ตาม (ไม่ติดหนึ่งในสามในปีนั้นด้วยซ้ำ)

 

ได้เวลาล้มล้างเมสซี่-โด้! 3 เหตุผล ฟาน ไดค์ ควรได้บัลลงดอร์

 

    ขณะที่เมื่อปีที่ผ่านมา มีการพยายามที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ด้วยการมอบรางวัลบอลทองคำให้กับ ลูก้า โมดริช ทั้งๆ ที่ผลงานของนักเตะก็ไม่ได้ดีเด่อะไร แถมยังมีสถิติที่ดูแล้วไม่เหมาะสมกับถูกโหวตให้เป็นผู้เล่นที่คู่ควรกับบัลลงดอร์ ในครั้งนั้นจริงๆ

    อย่างไรก็ตาม ในปีนี้หลายเสียงเห็นพ้องตรงกันว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ คู่ควรกับรางวัลนี้มากๆ และดูเหมือนว่าหากเขาได้จริงๆ ก็คือเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างที่สุด แม้ ดาวเตะเลือดดัตช์ จะไม่ได้มีสถิติการยิงประตูหรือแอสซิสต์มากมายนักเหมือน โรนัลโด้ และ เมสซี่ แต่เขามีส่วนสำคัญในการช่วงไม่ให้ "หงส์แดง" เสียประตูจนนำความสำเร็จมาสู่ถิ่นแอนฟิลด์
 

 

2. คว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก
    นับตั้งแต่ฤดูกาล 2013-14 แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินว่านักเตะคนไหนคู่ควรกับบัลลงดอร์

    แม้ช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา โรนัลโด้ จะสร้างสถิติเหนือกว่า เมสซี่ ในทางกลับกันถ้าหนึ่งในพวกเขาได้แชมป์ "ถ้วยหูกาง" มันแทบจะดูเหมือนว่าจะได้สอยบัลลงดอร์ไปครอบครอง (ซีซั่น 2014-15 และ 2016-17 เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในกรณีนี้)

 

ได้เวลาล้มล้างเมสซี่-โด้! 3 เหตุผล ฟาน ไดค์ ควรได้บัลลงดอร์

 

    ขณะเดียวกันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ โรนัลโด้ และ โมดริช ได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2018 แต่การที่ ดาวเตะโครแอต ประสบความสำเร็จกับทีมชาติโครเอเชีย ที่ทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย (แพ้ ฝรั่งเศส) กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ เพลย์เมกเกอร์ "ตาหมากรุก" หักด่าน 2 มนุษย์ต่างดาว ได้สำเร็จ

    สำหรับในปีนี้มีการแข่งขันระดับชาติเพียงแค่รายการเดียวที่โดดเด่นที่สุดนั่นก็คือ โคปา อเมริกา และ เมสซี่ ก็ทำผลงานได้ย่ำแย่ในทัวร์นาเมนต์นี้ ขณะที่ "ซีอาร์ 7" แม้ว่าจะโดดเด่นกับ โปรตุเกส ในการคว้าแชมป์ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก (ชนะ ฮอลแลนด์) แต่หลายคนมองว่าไม่ใช่รายการที่มีสาระสำคัญมากนัก

    เพราะฉะนั้น ฟาน ไดค์ (อยู่ในทัพ "อัศวินสีส้ม" แพ้ โปรตุเกส ในนัดชิงเนชั่นส์ ลีก) นำ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลล่าสุด และยังเกือบได้แชมป์พรีเมียร์ลีกด้วย (แพ้ แมนฯ ซิตี้ เพียง 1 คะแนน) จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เขาจะเป็นตัวเต็งคว้ารางวัลนี้

 

 

1.หยุดการครองอำนาจ เมสซี่-โรนัลโด้
    บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ดูเป็นนามธรรมมากที่สุดที่มองว่า ฟาน ไดค์ ซึ่งย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อเดือนมกราคม 2018 จะคว้ารางวัลบัลลงดอร์ ในปีนี้ อย่างไรก็ตามในความที่มันดูเหมือนเป็นเพียงแค่ทฤษฎีแต่ก็ยังมีประเด็นสำคัญให้น่าคิดเช่นเดียวกัน

    เมื่อปีที่ผ่านมา โมดริช จัดการหยุดความร้อนแรงของ เมสซี่-โรนัลโด้ ได้สำเร็จหลังจากที่ทั้งคู่ครองอำนาจในวงการลูกหนังโลกมานานถึงทศวรรษ แน่นอนว่าหลายคนค่อนข้างแฮปปี้กับเรื่องนี้ แต่กระนั้นก็ยังมีการตั้งข้อสงสัยว่า สตาร์ชาวโครแอตมีดีมากกว่า 2 แข้งนอกโลกหรือไม่ในซีซั่นนั้น

 

ได้เวลาล้มล้างเมสซี่-โด้! 3 เหตุผล ฟาน ไดค์ ควรได้บัลลงดอร์

 

    อย่างไรก็ตามเหตุผลที่หลายคนรู้สึกเหมือนกันก็คืออยากเห็นนักเตะคนอื่นที่คว้าบัลลงดอร์แทนที่ เมสซี่ กับ โรนัลโด้ นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่ต้องการให้ทั้งสองคนพลาด "บอลทองคำ" เพราะเป็นเหมือนการชดเชยเนื่องจากในบางครั้งทั้งคู่ก็ไม่ควรได้รับรางวัลทรงเกียรตินี้ ยกตัวอย่างในปี 2010 สำหรับกรณีของ เมสซี่ และ ในปี 2013 กรณี โรนัลโด้ (ฟร้องค์ ริเบรี่ นำ บาเยิร์น คว้าทริปเบิ้ลแชมป์)

    ก่อนหน้านี้ มีหลายคนรู้สึกว่ารางวัลนี้ควรเป็นของ เนย์มาร์, หลุยส์ ซัวเรซ หรือ แกเร็ธ เบล ที่สามารถช่วงชิงบัลลังก์บอลทองคำจากทั้งสองคน อย่างไรก็ตาม โมดริช สามารถทำให้ความฝันของหลายคนเป็นจริงเมื่อมีซีซั่นที่เหนือกว่า เมสซี่ กับ โรนัลโด้  

 

ได้เวลาล้มล้างเมสซี่-โด้! 3 เหตุผล ฟาน ไดค์ ควรได้บัลลงดอร์

 

    ในกรณีนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นกับ ฟาน ไดค์ ซึ่งคว้าแชมป์ "ถ้วยหูกาง" และยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีมากๆ เพราะเจ้าตัวเพิ่งได้รับการโหวตคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยม และกองหลังยอดเยี่ยมแห่งปีของ ยูฟ่า ซึ่งนี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายคนมองว่า ดาวเตะเลือดดัตช์ คู่ควรกับบัลลงดอร์

     อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเหตุผลทั้งหมดแบบแฟร์ๆ หรืออาจจะไม่แฟร์ก็ได้ นี่อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะถูกนำมาใช้ในการตัดสินผู้ที่ควรคว้ารางวัลบัลลงดอร์ในปีนี้ และมันเหมาะเจาะลงตัวกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ พอดิบพอดี

เล่นสล็อต สร้างรายได้กันเถอะ สมัครรับทุนฟรี คลิกเลย!