แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว่ำ ลิเวอร์พูล ในการดวลจุดโทษ 5-4 หลังจากเสมอกันในเวลา 90 นาที 1-1 คว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยสำหรับ “เรือใบสีฟ้า” ในการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 ได้ดีจริงๆ

    แมตช์นี้ทั้ง "เรือใบสีฟ้า" และ "หงส์แดง" ยังคงไม่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกต้องผิดหวัง เมื่อทั้งสองทีมเปิดฉากเล่นเกมบุกอย่างเมามัน โดยครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ เหนือกว่า แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลล่าสุด ในขณะที่ครึ่งหลังสโมสรเจ้าของ 3 แชมป์ในประเทศอังกฤษ โดน ลิเวอร์พูล ไล่กดดัน แต่สุดท้ายจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1

    สำหรับการดวลจุดโทษแน่นอนว่าต้องมีเรื่องโชคลาภวาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดย แมนฯ ซิตี้ แม่นกว่าซัดเข้าเรียบวุธ 5 คน ส่วน ลิเวอร์พูล ต้องผิดหวังเมื่อ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ซึ่งเป็นหนึ่งในฮีโร่สำคัญของทีมในเกมถ้วยใบโตยุโรปฤดูกาลที่ผ่านมา ยิงพลาด ทำให้ทีมต้องแพ้ไปอย่างหวุดหวิด

1. เคลาดิโอ บราโว่ ฟอร์มหนึบ 

    หลังจากต้องพบกับปีที่แสนยากลำบากจากอาการบาดเจ็บหัวเข่า ตอนนี้ เคลาดิโอ บราโว่ ผู้รักษาประตูชาวชิลี กลับมาช่วยทีมได้แล้ว แม้ว่าเขาจะถูกจับเป็นมือ 2 ก็ตาม แต่ในเกมนัดชิงโล่การกุศล เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจส่งเจ้าตัวเฝ้าเสาเป็นตัวจริง 

    โกลจอมเก๋าวัย 36 ปี โชว์ฟอร์มสุดเหนียวหนึบหลายจังหวะโดยเฉพาะการหลุดเข้าไปยิงของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เจ้าตัวเซฟได้อย่างสุดยอด แม้ "บังโม" จะวิ่งตามไปซ้ำดาบสองบอลกำลังจะข้ามเส้นแต่ ไคล์ วอล์คเกอร์ ตามมาสกัดออกไปได้แบบหวุดหวิด 

    อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายจังหวะที่ บราโว่ โชว์ความเหนียวหนึบโดยสถิติระบุว่าเขาเซฟจังหวะสำคัญถึง 8 ครั้งตลอด 90 นาที และยังแสดงให้เห็นความเก่งฉกาจในการดวลจุดโทษด้วย เมื่อป้องกันการยิงของ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ได้อย่างสุดยอด

    แน่นอว่า เป๊ป คงจะให้โอกาส เอแดร์ซอน ทำหน้าที่มือ 1 เฝ้าเสาในฤดูกาลนี้ แต่กระนั้นการมี บราโว่ เป็นตัวเลือกก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเยี่ยมสำหรับ "เรือใบสีฟ้า" เพราะในฤดูกาลนี้ทีมมีเกมให้ลงเล่นเยอะมาก โดยเฉพาะการป้องกัน 3 แชมป์ (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ)

2. โรดรี ปรับตัวได้เร็ว  

    ทุกๆ สโมสรที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุมบังเหียน เขาต้องการมิดฟิลด์ชั้นยอดเพื่อให้ต้นสังกัดระเบิดฟอร์มเก่งออกมา สมัยคุม บาร์เซโลน่า ก็มี เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ตอนคุม บาเยิร์น มิวนิค ก็มี ชาบี อลอนโซ่ แต่ที่ แมนฯ ซิตี้ เขาต้องใช้งาน แฟร์นันดินโญ่ แม้ว่าจะเล่นได้ดีแต่ก็ยังไม่โดนใจนายใหญ่ชาวสแปนิช

    สำหรับตอนนี้ เป๊ป ได้นักเตะที่มีความใกล้เคียงระหว่าง บุสเก็ตส์ กับ อลอนโซ่ แล้ว โดยทีมยอมลงทุนทุบกระปุกเป็นสถิติสโมสรในการคว้าตัว โรดรี เอร์นานเดซ มาจาก แอตเลติโก มาดริด และหากได้ชมเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ คงเห็นแล้วว่านักเตะมีส่วนสำคัญกับ "เรือใบสีฟ้า" มากแค่ไหน

    ทั้งจงหวะการผ่านบอลที่เหนือกว่า แฟร์นันดินโญ่ หรืออีกหลายๆ จังหวะ โดยสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า โรดรี เข้าใจแนวทางการเล่นของ กวาร์ดิโอล่า เป็นอย่างดี โดย โรดรี มีความสามารถในการครองบอล, ไล่กดดัน และการส่งบอลที่แม่นยำ โดยในเกมปะทะ ลิเวอร์พูล นั้น ดาวเตะชาวสแปนิช สามารถจัดการมิดฟิลด์ "หงส์แดง" อยู่หมัด

    สำหรับตอนนี้ กองกลางทีมชาติสเปน น่าจะเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญของ แมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ และ กวาร์ดิโอล่า คงได้จิ๊กซอว์สำคัญที่เขาต้องการในแผงมิดฟิลด์

3. ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ฟอร์มสุดยอด 

    ในครึ่งแรกดูเหมือนฟอร์มของ "หงส์แดง" จะติดๆ ขัดๆ ไม่ค่อยไหลลื่น แต่หลังจากกลับลงสนามในครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล มาฟอร์มใหม่เมื่อพวกเขาต่อเกมบุกอย่างไหลลื่น และเกมรับก็เหนียวแน่นมากขึ้น ที่สำคัญทีมมีโอกาสหลายครั้งในการทำประตูด้วย

    โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ค่อยๆ โชว์ฟอร์มสุดยอดออกมาเรื่อยๆ โดยเขามีโอกาสยิงหลายครั้งทำให้ บราโว่ ต้องออกแรงป้องกัน โดย สตาร์ลูกหนังทีมชาติอียิปต์ มีโอกาสโชว์ลีลา และเทคนิคชั้นยอดมากขึ้น ขณะเดียวกัน "เดอะ เร้ดส์" ยังสร้างโอกาสได้หลายครั้ง

    เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ โหม่งบอลย้อยชนเสาตกตรงเส้นประตูพอดี แต่ผู้ตัดสินเช็คแล้วว่าบอลยังเข้าไม่เต็มใบก็เลยไม่ได้ประตู แต่ไม่นานนัก สตาร์แนวรับเลือดดัตช์ กระดกบอลให้ โฌแอล มาติป คู่หูเซนเตอร์แบ็ก โหม่งประตูตีเสมอให้กับต้นสังกัดได้สำเร็จ

    "หงส์แดง" ยังคงทำผลงานได้เหนือกว่าทีม 3 แชมป์ในเมืองผู้ดี โดยสามารถครองเกมได้ถึง 64 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งแรกพวกเขาครองเกมได้เพียง 42 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นอกจากนี้ในช่วงท้ายเกม ลิเวอร์พูล ยังมีโอกาสปิดสกอร์ทั้งกับ ซาลาห์ และ เซอร์ดาน ชากิรี่ แต่ไม่สำเร็จ ก่อนที่จะต้องดวลจุดโทษหาแชมป์ และงานนี้เทพีแห่งโชคสวมชุด "สีฟ้า" !!!

4. ลิเวอร์พูล เสียประตูเยอะเกินไป 

    ลิเวอร์พูล ยังไม่สามารถรักษาคลีนชีตในช่วงปรีซีซั่นได้เลยนับตั้งแต่เกมอุ่นเครื่องนัดแรกที่พบกับ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส เพราะแมตช์ที่ปะทะกับ แบรดฟอร์ด ซิตี้, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, เซบีย่า, สปอร์ติ้ง ลิสบอน, นาโปลี และ โอลิมปิก ลียง รวมไปถึงเกมล่าสุดกับ แมนฯ ซิตี้ พวกเขาเสียประตูเรียบวุธ นี่เป็นเรื่องน่ากัวงลสำหรับทีมที่ได้ชื่อว่ามีเกมรับเหนียวแน่นมากๆ เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา

    สำหรับจังหวะการเสียประตูแรกต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากความผิดพลาดของ อลีสซง เบ็คเกอร์ นายทวารชาวบราซิเลียน ที่ป้องกันจังหวะการยิงเบาของ ราฮีม สเตอร์ลิง ไม่ได้ แม้อาจจะอ้างว่าเป็นการยิงจ่อๆ ก็ตาม แต่หากเป็น อลีสซง คนเดิมจังหวะแบบนี้น่าจะป้องกันได้

    ขณะที่ โจ โกเมซ ถือว่าทำผลงานได้น่าประทับใจมากๆ ในฐานะแบ็กขวาทันทีที่ มาติป ถูกเปลี่ยนตัวลงมาเล่น ในส่วนของเกมรุกแน่นอนว่า "หงส์แดง" ยังคงไว้วางใจได้ แต่สำหรับเกมรับตอนนี้คงต้องรีบแก้ไขเป็นการด่วน เพราะครึ่งแรกถือว่าไม่ดีนัก แต่ครึ่งหลังถือเป็นแนวรับที่สาวก "เดอะ ค็อป" คุ้นเคย

5. การเลือกทีมของคล็อปป์ 

       แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะเล่นไม่ได้แย่มากนัก แต่มีเรื่องที่ต้องพูดถึงเกี่ยวกับการเลือกทีมของ คล็อปป์ โดยเลือก 2 มิดฟิลด์ตัวรับลงสนามได้แก่ ฟาบินโญ่ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงเล่นตัวจริง แถมยังขยับกัปตันทีม "หงส์แดง" ออกไปเล่นทาฝั่งซ้าย ขณะที่ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ออกไปยืนมิดฟิลด์ฝั่งขวา

        ทั้งๆ ที่หากมองจากความเป็นจริงแล้ว ไวจ์นัลดุม ถนัดการเล่นมิดฟิลด์ฝั่งซ้ายมากกว่า ในครึ่งหลังสถานการณ์ของทีมไม่ค่อยสู้ดีนักจนกระทั่ง นายใหญ่ชาวเยอรมัน ตัดสินใจถอด ฟาบินโญ่ กับ "เฮนโด้" ออกและเลือกส่ง นาบี เกอิต้า กับ อดัม ลัลลาน่า ลงมาทำหน้าที่แทน

    หลังจากที่ เกอิต้า กับ ลัลลาน่า ลงสนาม เกมของ "หงส์แดง" เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากทีมเริ่มมีการสร้างโอกาสได้มากกกว่าตอนที่ 2 คนแรกอยู่ในสนาม หากมองในแง่บวกถ้า คล็อปป์ ตัดสินใจใช้งานผู้เล่นตัวรุกในแผงมิดฟิลด์ บางที ลิเวอร์พูล น่าจะควบคุมเกมได้มากกว่านี้ในครึ่งแรก