ลิเวอร์พูล ดูเหมือนว่าจะยังไม่ฟื้นในช่วงอุ่นเครื่องปรีซีซั่นซัมเมอร์นี้ ล่าสุดก็โดน นาโปลี ยิงยับ 0-3 ที่สนามมาร์รี่ย์ฟิลด์ สเตเดี้ยม ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถควานหาชัยชนะได้เลย 4 แมตช์ติดต่อกัน

    เจอร์เก้น คล็อปป์ มีการบ้านชิ้นโตทั้งเกมรุก และเกมรับ เนื่องจากทีมยังขาดความเฉียบคมในแดนหน้า และความแข็งแกร่งในแผงแบ็กโฟร์ซึ่งเป็นผลงานที่สุดโดดเด่นของ "หงส์แดง" เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แม้หลายคนอาจจะมองว่านี่เป็นเพียงเกมอุ่นเครื่อง และนักเตะสำคัญยังกลับมาไม่ครบ แต่หากมองจากความเป็นจริงตอนนี้เหลือแค่ 2 สัปดาห์ฤดูกาลใหม่ก็จะเปิดฉาก หากทีมยังไม่ลงตัวแบบนี้มีสิทธิ์ต้องพบความยากลำบากก็เป็นได้

    ฉะนั้นแมตช์ที่แพ้ นาโปลี เกมล่าสุด คงทำให้ คล็อปป์ ตาสว่างแล้วว่าการที่ทีมขาดขุมกำลังในเชิงลึกจะทำให้ทีมขาดความต่อเนื่องในการเบียดแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2019-20 ดังนั้นกุนซือเลือดด๊อยท์ช ต้องหาแนวทางแก้ไขเป็นการด่วน เพราะการมีนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าจัดจ้านอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ !!??

1.  ไร้ความคมในแดนหน้า  
     การที่ผู้เล่นแนวรุกตัวเลือกแรกไม่มีให้เลือกใช้ งานนี้บรรดาผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ได้รับโอกาสลงเล่นกองหน้าไม่สามารถสร้างผลงานชั้นยอดให้กับ ลิเวอร์พูล ได้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมตช์โดน นาโปลี เผาเครื่องเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา

    โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ยังคงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังจากทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติบ้านเกิด ขณะที่ จินี่ ไวจ์นัลดุม และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน รวมทั้ง ดิว็อค โอริก้า ได้ลงเล่นตัวจริง แต่ก็ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้

    ลิเวอร์พูล ขาดความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้าย และไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับ นาโปลี ได้เลย ขณะเดียวกันการที่ คล็อปป์ ส่งนักเตะดาวรุ่งลงสนามก็สร้างความปั่นป่วนให้กับ "อัซซูร่า" ได้ในระดับนึงโดยเฉพาะการเปิดบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้าย ซึ่งหาก "หงส์แดง" มีสามประสาน "หินเหล็กไฟ" (เอสเอ็มเอฟ) มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาน่าจะได้ประตู

    สำหรับตอนนี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงได้แต่รอลุ้นให้ 3 ประตูกลับมาร่วมทีมให้เร็วที่สุด โดยในรายของ ซาลาห์ กับ ฟีร์มีโน่ จะกลับมาร่วมทีมในวันจันทร์นี้พร้อมกับ อลีสซง เบ็คเกอร์, เซอร์ดาน ชากีรี่ และ นาบี เกอิต้า เพื่อเตรียมความพร้อมในเกมดวล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ วันอาทิตย์ที่ 4 ส.ค.นี้ ส่วน มาเน่ น่าจะกลับมาช่วยต้นเดือนส.ค.น

2.  นักเตะใหม่ได้มีโอกาสโชว์ฝีเท้า  
    ก่อนเกมนี้ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ประกาศคว้าตัว ฮาร์วี่ย์ เอลเลตต์ กองกลางดาวรุ่งพุ่งแรงมาร่วมทัพ พร้อมกับจับนักเตะมีชื่อเป็นตัวสำรองร่วมกับแข้งอนาคตไกลหลายราย รวมทั้ง เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ปราการหลังอนาคตไกลชาวดัตช์

    คล็อปป์ ไม่ได้แค่ใส่ชื่อนักเตะเพื่อให้ชมเกมข้างสนามแต่เขายินดีให้โอกาสนักเตะเหล่านี้ได้สัมผัสกับบรรยากาศจริงด้วยการส่งลงเล่นช่วงครึ่หลัง โดย เอลเลตต์ แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ รวมทั้งเท้าซ้ายที่สุดยอด และสัมผัสบอลที่ยอดเยี่ยมทั้งๆ ที่อายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ซึ่งงานนี้ขอบอกว่า "หงส์แดง" ดูเหมือนจะได้ของดีมาร่วมทีมจริงๆ

    เอลเลตต์ แสดงให้เห็นถึงทักษะชั้นยอดระหว่างช่วงอบอุ่นร่างกาย และช่วงวอร์มอัพตอนพักครึ่ง แน่นอนว่าสาวก "เดอะ ค็อป" กระสันให้ คล็อปป์ จับ "ดาวเตะหัวจุก" ลงสนามซึ่งงานนี้นายใหญ่ชาวเยอรมันเหมือนรู้ใจว่าแล้วก็เลยส่งนักเตะลงเล่นแทน ไวจ์นัลดุม ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย

    ดาวเตะวัย 16 ปีเล่นได้ดีมีความขยันไล่บี้ไม่มีหยุด แถมมีอยู่หนึ่งจังหวะที่มีโอกาสซัดบริเวณกรอบเขตโทษแต่น่าเสียดายที่บอลเหินข้ามคานไปแบบไม่มีลุ้น อย่างไรก็ตามด้วยฟอร์มแบบนี้แฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" น่าจะประทับใจศักยภาพของ เอลเลตต์ ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

3. เกมรับน่าผิดหวัง
    หนึ่งในเหตุผลที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเก็บได้ 97 คะแนนในพรีเมียร์ลีก ก็คือการมีเกมรับที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาไม่เกิดขึ้นเลยในช่วงอุ่นเครื่องปรีซีซั่นซัมเมอร์นี้ ซึ่งต้องบอกว่าทุกอย่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจริงๆ

    แมตช์นี้ ลิเวอร์พูล มีเกมรับที่ไม่ค่อยข้างจะต่ำกว่ามาตรฐานอย่างแท้จริง และงานนี้เริ่มเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของ โฌแอล มาติป และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เนื่องจากทั้งสองคนยังโชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐานจากสิ่งที่พวกเขาเคยทำเอาไว้

    แม้ว่า คล็อปป์ พยายามที่จะตอกย้ำว่าผลการแข่งขันไม่สำคัญในช่วงปรีซีซั่น แต่ความจริงแล้วตอนนี้ กุนซือชาวเยอรมัน คงรู้สึกกังวลใจไม่น้อยเกี่ยวกับแผงแบ็กโฟร์ที่ดูเหมือนจะปล่อยให้ทีมเสียประตูง่ายเหลือเกิน และนั่นอาจจะส่งผลกระทบต่อผลงานในเกมพรีเมียร์ลีกที่จะเปิดฉากในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้

    ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล ยังมีเกมอุ่นเกือกพบ โอลิมปิก ลียง ในวันพุธที่ 31 กรกฎาคมนี้ และ แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 สมัย ต้องรีบหาทางแก้ไขเกี่ยวกับแบ็กโฟร์ให้เร็วที่สุด เพราะหากยังคงเสียประตูง่ายๆ แบบนี้ ต่อให้มี 10 อลีสซง เบ็คเกอร์ ก็ไม่สามารถช่วยทีมได้แน่นอน
 

4. อินซิเย่ ร้อนแรงเหลือเกิน  
    เกมรับของ ลิเวอร์พูล ต้องย่อยยับไม่เป็นทางในช่วงปรีซีซั่น และยิ่งย่ำแย่เป็นทวีคูณเมื่อโดน ลอเรนโซ่ อินซินเย่ จัดการปั่นป่วนจนหัวหมุนโดยทั้ง มาติป กับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เจอกับความยากลำบากในการรับมือกับสตาร์ลูกหนังทีมชาติอิตาลี

    ดาวเตะวัย 28 ปี ทำหน้าที่เคลื่อนทางฝั่งซ้าย และผ่านไปเพียงแค่ 18 นาทีเจ้าตัวก็จัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย จากนั้นในนาทีที่ 29 นาโปลี มาทิ้งห่างเป็น 2-0 เมื่อ อินซินเย่ ลากบอลจากฝั่งซ้าย แล้วเปิดเลียดไปเสาแรก ก่อนที่จะเป็น อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค พุ่งมาล้มตัวยิงด้วยซ้ายส่งบอลเข้าประตูไปสบายๆ ขณะที่ประตู 3-0 อินซินเย่ ก็ซัดในกรอบเขตโทษ ก่อน ซิมง มิโญเล่ต์ ปัดบอลไปโดน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และทำให้ อามิน ยูเนส  ซัดโล่งๆ สบายอุรา

    นอกจากจะมีส่วนในการช่วยให้ นาโปลี ได้ประตูแล้ว อินซิเย่ ยังสามารถปั่นป่วนเกมรับของ รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ได้ตลอด ดังนั้นต้องยอมรับว่านักเตะรายนี้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจริงๆ และจัดการฝั่ง ลิเวอร์พูล ยับเยินที่ดินแดนวิสกี้

5. นาโปลี ฟอร์มฮอต
    แม้ที่สนามมาร์รี่ย์ฟิลด์ สเตเดี้ยม แฟนบอลส่วนใหญ่จะเป็นของ "เดอะ เร้ดส์" ก็ตาม แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่สาวก "เดอะ ค็อป" จะแสดงความยกย่องด้วยการปรบมือให้กับคุณภาพชั้นของของทีมแกร่งแห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ในแมตช์นี้

    ทีมของกุนซือคาร์โล อันเชลอตติ แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่เน้นเอนเตอร์เทน และโชว์ทักษะชั้นยอดชนิดที่แฟนบอล "หงส์แดง" ต้องทึ่ง นอกจากนี้ นาโปลี ยังโชว์การยิงประตูที่เฉียบคมจนทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องพบกับความชอกช้ำในเกมอุ่นเกือกที่ประเทศสกอตแลนด์

    ผลงานของ อินซิเย่ ที่โชว์ลีลาเด็ดทางฝั่งซ้าย และเล่นงาน อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จนหัวหมุน ขณะที่ อเล็กซ์ เมเร็ต ผู้รักษาประตู ยังแสดงให้เห็นถึงความเหนียวหนึบโดยเฉพาะจังหวะการพุ่งปัดบอลอย่างเหนือชั้นจากการยิงของ แฮร์รี่ วิลสัน รวมไปถึงการเซฟในจังหวะอันตรายๆ อีกหลายครั้ง ซึ่งสมควรอย่างที่สุดที่จะได้รับเสียงปรบมือยกย่อง